Suki Media

Archive for the ‘10 Things’ Category

     วันว่างๆ อย่างนี้ พอจะมีเวลานั่งทบทวนเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงนี้ ก็ให้รู้สึกว่าการเกิดเป็นคนไทยมีความลำบากอยู่พอสมควร คิดไปคิดมา มันเป็นเวรกรรมอะไรของคนไทยหนอ ถึงมีเรื่องราวที่บั่นทอนจิตใจได้มากมายเหลือเกิน

     มีอยู่ 10 เรื่องครับที่ผมถือว่าเป็นเวรกรรมของคนไทย ที่อาจติดตัวมาแต่ชาติปางก่อน และคิดว่ามันคงจะติดตัวต่อไปอีกหลายภพชาติด้วยเช่นกัน

     1. คนไทยมีความทรงจำเป็นเลิศ ดูเหมือนเป็นเวรกรรมที่น่ายินดี แต่บางครั้งกลับเป็นเรื่องน่าเศร้า และไม่มีหลักเกณฑ์ใดบ่งชี้ว่าคนไทยเลือกที่จะจำอะไรหรือไม่จำอะไร

     มันคงเป็นเวรกรรมจริงๆ นั่นแหละ ที่การปฏิวัติรัฐประหารแทบทุกครั้ง ทหารมักจะสืบทอดอำนาจในการบริหารประเทศ และที่คนไทยยอมไม่ได้ครั้งล่าสุดก็คือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จนทำให้คนไทยเข็ดขยาดทหารไปนาน

     จริงอยู่ที่ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย แต่ก็จริงอีกเช่นกันที่คนหรือประเทศจะพัฒนาไปได้ ย่อมต้องรู้จักเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต และไม่คิดจะย่ำรอยเท้าเดิมที่เคยมีคนเหยียบย่ำไว้แล้วลื่นล้มลง หาก คมช. ฉลาดพอ ย่อมไม่ริเลียนแบบรุ่นพี่ มิฉะนั้นอาจมีจุดจบไม่ต่างกัน

     แต่โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า คมช. จะสืบทอดอำนาจ เนื่องจากเขาย่อมต้องป้องกันการถูกเช็คบิลจากขั้วอำนาจเก่า แต่การสืบทอดอำนาจจะไม่มากจนน่าเกลียด เพราะถ้า คมช. ไม่โง่จนเกินไป ย่อมรู้ว่าการตะกละตะกลามจนเกินเหตุ จะทำให้ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านแน่นอน

     และนี่คงเป็นเวรกรรมของทหาร ที่รุ่นพี่ได้ทำเสียชื่อเอาไว้ และคงเป็นเวรกรรมของผมที่โดนสื่อกรอกหูทุกวันในประเด็นเดิมๆ ถามจนเอียนกันไปข้างหนึ่ง เพราะสื่อทึกทักไปก่อนแล้วว่า…ถ้าแม่มันเลว ลูกก็คงเลวเหมือนแม่มัน

     2. แต่บางครั้งคนไทยก็สมองเสื่อม เพราะคนดีๆ เรามักไม่จำว่าความดีของเขานั้นคืออะไร แต่เรากลับอยากได้คนเก่งมาชี้นำ แม้เขาจะเลวบ้างก็ตาม

     ตรรกะง่ายๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็คือ คนดีมักจืดชืด ส่วนคนเลวมักหวือหวา นายกรัฐมนตรีดีๆ หลายคนมักถูกคนไทยด่าสาดเสียเทเสีย และไม่แยแสกับการบริหารงานที่ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม แต่ราบเรียบและน่าเบื่อ เพราะเราไม่ชินกับความพอเพียง เรายังคงอยากได้ตัวเลขจีดีพีสูงๆ และมีความมั่งคั่ง มากกว่าการอยู่อย่างพอมีพอกิน

     เพราะยังไงคนไทยก็ยังอยากรวยเหมือนอย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลี หรือสิงคโปร์ เราไม่อยากจนเหมือนลาวหรือภูฏาน แม้คนในสองประเทศหลังนี้จะมีความสุขไม่แพ้ประเทศอื่นๆ ก็ตาม ตัวเลขจีเอ็นเอช หรือดัชนีชี้วัดความสุข ที่ก่อนหน้านี้หลายคนฝันว่าจะเอาอย่างเขาบ้าง มันก็เป็นเพียงแค่แฟชั่นเท่านั้นเอง

     ช่วงหลังๆ มานี้ ผมจึงได้ยินบางคนเริ่มพูดกันแล้วว่า อยากให้ทักษิณกลับมาบริหารประเทศ เพราะแม้เขาจะคอร์รัปชั่นบ้าง แต่ก็ทำให้เศรษฐกิจของประเทศดี…ช่างเวรกรรมจริงๆ

     3. สังคมไทยมีสื่อหลักที่ห่วยที่สุดในโลก สื่อส่วนใหญ่นำเสนอข่าวเพื่อเงินมากกว่าเพื่อสังคม ตัวอย่างที่เพิ่งจบไปก็คือ “ไอทีวี” ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็น “ทีไอทีวี” นั่นเอง และล่าสุดก็มีสื่อห่วยกว่าตามออกมา คงเดากันออกใช่ไหมครับว่าสื่อนั้นชื่ออะไร…ใช่แล้วครับ “พีทีวี”

จักรภพ     พฤติกรรมของ “พีทีวี” ถ้าเป็นภาษาจีนก็ต้องเรียกว่า “เจียะป้าบ่อสื่อ” กินอิ่มแล้วไม่รู้จะทำอะไร เลยเอาเงินของใครก็ไม่รู้มาถลุงเล่น บุคคลที่ผมเคยชื่นชมว่ามีความสามารถในระดับน่ายกย่อง อย่าง “จักรภพ เพ็ญแข” ก็กู่ไม่กลับเสียแล้ว ท่าทีของเขาทุกวันนี้ไม่ต่างอะไรกับ “สมัคร สุนทรเวช” หรือ “ดุสิต ศิริวรรณ” หรือสื่ออีกหลายคนที่ทำตัวเยี่ยงสุนัขรับใช้คอยปกป้องเจ้านาย

     4. คนไทยใจร้อน เรามักทนไม่ได้กับความเชื่องช้าในการบริหารประเทศ หรือการพัฒนาอย่างยั่งยืน เราไม่เข้าใจว่าการพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อวางรากฐานประเทศอย่างมั่นคงนั้น มันกินเวลามากกว่าที่คิด

     กว่าที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และสิงคโปร์ จะเจริญอย่างทุกวันนี้ได้ เขาต้องวางรากฐานทางการศึกษา เศรษฐกิจ การเมือง สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ด้วยการลงทุนทรัพยากรต่างๆ รวมทั้ง “เวลา” ไปมากกว่า 10 ปี หรืออย่างเวียดนาม เขาก็ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะขึ้นมาเทียบชั้นกับเรา และความจริงก็คือตอนนี้เขากำลังเบียดแซงเราไปแล้วอย่างน้อย 1 ก้าว

     นี่เป็นตัวอย่างความอดทนในการสร้างชาติ ที่ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ แต่สังคมไทยต้องการทางลัดด้วยการหาผู้นำที่เก่งด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ในระดับนานาชาติ มาบริหารประเทศพร้อมกับคิดค่าจ้างด้วยการคอร์รัปชั่น และคนไทยก็ยอมปิดตาข้างหนึ่งเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

     5. แต่บางครั้งคนไทยก็ใจเย็น แม้เราจะจงเกลียดจงชังผู้นำที่รู้ว่าเขาเลวระยำตำบอน แต่ก็ยอมให้เขาทำเลวต่อไปได้ เพื่อแลกกับคำพูดสวยหรูและเศษเงินที่เขาหว่านมาให้เป็นระยะหมเหวง

     ขณะนี้หลายคนแทบจะทนไม่ได้ที่ต้องรอถึง 6 เดือน กว่าจะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เราทนมาได้ตั้งเกือบ 6 ปี กับผู้นำที่เราเรียกร้องให้ออกไปจากตำแหน่ง ผมงงเป็นไก่ตาแตกครับกับพฤติกรรมของ “หมอเหวง โตจิราการ” ที่ทำท่าขึงขังในการขับไล่ คมช. และรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศได้ 6 เดือน แต่หมอเหวงและพวกกลับทนอยู่ภายใต้ระบอบทักษิณได้ตั้ง 6 ปี

     ทำไมท่านยิ่งแก่ยิ่งใจร้อนล่ะครับ? อีก 6 เดือนเขาก็ไปแล้ว ถึงเวลานั้นถ้าเขาไม่ไป ค่อยออกมาไล่ก็ไม่สาย เพราะจริงๆ มันสายไปตั้ง 6 ปีแล้วครับ แล้วอีก 6 เดือนจะเป็นอะไรไป

     6. คนไทยเก่งวิพากษ์วิจารณ์ ผมชื่นชมกับเวรกรรมนี้มาก ไม่ทราบว่าในชาติปางก่อนคนไทยได้ทำกรรมอันใดไว้ จึงเก่งในการแสดงความคิดเห็นเหลือหลาย อย่างที่ผมกำลังแสดงความเห็นนี่ก็เช่นกัน เพราะเราชอบจริงๆ ครับกับการออกความเห็น

     7. แต่ให้ทำ กูไม่เอา หรือพอทำแล้ว ไม่เห็นเก่งอย่างที่พูดเลย

     นี่อาจเป็นอีกหนึ่งตรรกะหรือสัจธรรมที่ปฏิเสธแทบไม่ได้จริงๆ นั่นก็คือ คนปฏิบัติเก่งมักพูดไม่ค่อยเก่ง แต่คนพูดเก่งมักทำอะไรไม่ค่อยเป็น สังคมไทยจึงมีนักวิชาการอย่าง “ธีรยุทธ บุญมี” ที่มักจะมีคำพูดสวยหรู สร้างศัพท์แสงใหม่ๆ ตลอดเวลา จนราชบัณฑิตต้องกลับไปเข้าคอร์สฝึกภาษาไทยใหม่ทุกครั้งที่อาจารย์ออกมาแถลงข่าว

ธีรยุทธ     เราจึงมีนักวิชาการมากมายที่ออกมาให้ความเห็นอย่างเสมอต้นเสมอปลาย คำแนะนำดีๆ ทั้งนั้นครับ และถ้าประเทศไทยทำได้อย่างที่อาจารย์เหล่านั้นแนะนำ เราจะเป็นชาติแรกที่สามารถไปสร้างบ้านบนดาวอังคารได้

     แต่ที่ผมสงสัยก็คือ นักวิชาการทั้งหลายเหล่านี้เคยเดินลงจากหอคอยงาช้าง มาสัมผัสปัญหาจริงๆ ในสังคมหรือไม่ หรือเพียงแค่เปิดตำราในห้องสมุดและวิพากษ์วิจารณ์ตามทฤษฏี

     เพราะวิธีนั้น คนรับใช้ที่เช็ดตู้หนังสือบ้านผมก็ทำได้ครับ

     8. คนไทยชาตินิยม แต่เฉพาะตอนเวลาดูบอลไทยแข่งกับต่างชาติเท่านั้นนะครับ เราจะชาตินิยมขึ้นมาทันที โดยเฉพาะแข่งกับสิงคโปร์

     9. แต่เราไม่เคยรักกันหรือชาตินิยมในกรณีอื่น สังเกตง่ายๆ ทุกวันนี้สังคมไทยแตกแยกเป็นหลายฝ่าย พวกรักทักษิณ พวกเกลียดทักษิณ พวกไทยพุทธ พวกไทยมุสลิม พวกเกลียดป๋า พวกรักป๋า พวกเกลียดรัฐประหาร พวกเกลียดคอร์รัปชั่น พวกขวาจัด พวกซ้ายจัด พวกมึง พวกกู และอีกหลายพวก นับไม่ถ้วน สาเหตุหลักๆ คือเราไม่สามารถยอมรับความแตกต่างทางความคิดได้มากนัก และที่สำคัญ เราสุดโต่งเกินไปกับทุกปัญหาแทบทุกครั้ง

     พอมีประชาธิปไตย มีเสรี มีทุนนิยม มีทักษิณ เราก็จะเอาสังคมนิยม เอาพอเพียง เอาทหาร แต่พอมีรัฐประหาร เราก็จะประชาธิปไตยจ๋าขึ้นมาทันที จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมให้เร็วที่สุด ทนไม่ได้ขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เรียกร้องกันจะเป็นจะตาย

     10. เว้นไว้ให้ไปให้คิดต่อเอง เพราะแค่นี้ก็รู้สึกเวรกรรมมากพออยู่แล้ว

     ไปเจอผลสำรวจ 10 อาชีพที่ตลาดกำลังต้องการมากที่สุด ที่สำคัญ…ได้เงินดีเสียด้วย แต่ขอบอกก่อนว่า ฐานเงินเดือนที่อ้างถึงนี้เป็นข้อมูลในสหรัฐอเมริกาครับ

1. ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือ Medical Science Liaisons (MSLs)

     บริษัทผลิตยากำลังต้องการเป็นอย่างมาก แลกกับเงินเดือนเดือนละ 350,000 บาท แถมโบนัสอีก 10-20% ทำหน้าที่ให้ข้อมูลและคำปรึกษาเกี่ยวกับยาและการแพทย์

2. Account Director หรือ AE ในธุรกิจ dot com

     เป็นที่รู้กันว่าธุรกิจสายนี้กำลังได้รับความนิยม เม็ดเงินค่าโฆษณาจากสื่อหลัก ไม่ว่าจะเป็นทีวี วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เริ่มเคลื่อนย้ายมาสู่โลกดิจิตอลมากขึ้น ทำให้ตำแหน่งนี้ในนิวยอร์กสามารถทำเงินได้สูงถึง 440,000 บาทต่อเดือนทีเดียว

3. ผู้จัดการทั่วไปในโรงแรมหรือรีสอร์ทระดับห้าดาว

     ตำแหน่ง GM ที่ดีๆ นั้นหายาก เพราะนอกจากจะต้องดูแลที่พักแล้ว ยังต้องดูแลกิจกรรมเกี่ยวเนื่องอีกด้วย เช่น สปา สนามกอล์ฟ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ เรียกว่าครบวงจรสำหรับหน้าที่นี้ จึงต้องแลกมาด้วยเงินเดือนระดับ 230,000 – 350,000 บาทต่อเดือน

4. ดีไซน์เนอร์สินค้ากีฬา

     เนื่องจากเทรนด์สินค้ากีฬาที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอายุของสินค้าแฟชั่นประเภทนี้ก็มีไม่เกิน 6 เดือน อาชีพนี้จึงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก เด็กจบใหม่อาจได้เงินเดือนถึง 110,000 บาททีเดียว ขณะที่คนมีประสบการณ์ 3-5 ปี จะเค้นเงินเดือนได้เพิ่มอีก 2-3 เท่าครับ

5. นักประเมินราคาก่อสร้าง และ 6. ผู้จัดการโครงการ

     สองอาชีพนี้มีความต้องการของตลาดพอๆ กัน และได้รับเงินเดือนสูสีกันในช่วงแรก เพราะมีพื้นฐานความรู้ใกล้เคียงกัน แต่ในกรณีตำแหน่งผู้จัดการโครงการจะมีภาษีดีกว่าในระยะยาว เพราะเป็นผู้ดูภาพรวมของโครงการก่อสร้างต่างๆ เงินเดือนของคนที่มีประสบการณ์แล้วจึงอาจสูงถึง 300,000 บาท แต่ในช่วงแรกจะได้พอๆ กันที่ประมาณ 170,000 บาทต่อเดือน

7. ผู้ดูแลฐานข้อมูล SQL และ 8. ผู้เชี่ยวชาญการใช้โปรแกรม Java และ .NET

     ธุรกิจต่างๆ สมัยนี้ต้องอาศัยไอทีเพื่อช่วยจัดการข้อมูลกันมากขึ้น คนในสองอาชีพนี้จึงได้รับค่าตอบแทนอย่างงาม ในเมืองใหญ่ๆ อย่างนิวยอร์กสามารถเรียกเงินเดือนได้ถึงเดือนละ 300,000 บาท ขณะที่เมืองเล็กลงมาหน่อยอยู่ที่ 230,000 บาทต่อเดือน

9. นักบัญชี และ 10. นักวิเคราะห์การเงิน

     สองอาชีพสุดท้ายจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่นักบัญชีและการเงิน เพราะถือเป็นอาชีพที่เป็นหัวใจของทุกธุรกิจเลยทีเดียว นักบัญชีจะได้เงินเดือนราวๆ 170,000 บาท ขณะที่นักวิเคราะห์การเงินดูไฮโซกว่า เพราะได้เงินสูงกว่าเยอะ ตกเดือนละ 260,000 บาทครับ

     เฮ้อ…เห็นอัตราเงินเดือนของคนอเมริกันแล้ว ก็อดนึกอิจฉาไม่ได้ เรียนมาเหมือนกัน ทำงานก็ได้ประสบการณ์ไม่ต่างกันนัก แต่ทำไมเงินมันต่างกันสัก 10 เท่าได้ (ตัดเลขศูนย์ตัวท้ายออกสักตัว) ทีนี้ถ้าใครคิดจะเรียนหรือทำงานอาชีพไหน ก็เลือกกันให้ดีๆ แล้วกันครับ ที่สำคัญ…เลือกประเทศด้วยก็จะดี เพราะประเทศไทยนี้มีฐานเงินเดือนต่ำเตี้ยติดดิน แต่สินค้าและบริการบางอย่างมีราคาสูงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสหรัฐอเมริกาเลย ดูราคากาแฟสตาร์บัคส์ก็รู้ ราคาเดียวกับที่อเมริกาเลย ก็ยังเห็นคนไทยกินเอ๊ากินเอา ก็แปลกดี

     ทักษิณหลุดจากอำนาจ “อย่างเป็นทางการ” ไปแล้ว แต่ยังมีอำนาจ “อย่างไม่เป็นทางการ” เหลืออยู่หรือไม่ ลิ่วล้อทักษิณย่อมรู้ดี และถ้าว่ากันตามจริงแล้ว คนไทยทั่วไปก็รู้ดีว่าอดีตนายกฯ ผู้นี้ยังแรงดีไม่มีตก แม้จะวิ่งรอกไปทั่วภูมิภาคแล้ว ยังมีแรงทำตัวเป็นข่าวทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกด้วย โดยทางตรงก็อย่างเช่นเมื่อคืนนี้ที่ทักษิณพูดผ่านสื่อระดับโลกอย่าง CNN แต่คนไทยอดดู และทางอ้อมก็ด้วยการให้ลิ่วล้อออกมาประโคมข่าว

     ลิ่วล้อเหล่านี้หากจะทำตัวดีมีสาระ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมหาศาล แต่สังคมไทยต้องเสียทรัพยากรบุคคลอันมีค่าไป เพียงเพราะว่าหลงผิดต่อบุคคลที่ขาดคุณธรรมไปเพียงคนเดียว

     มีคำแนะนำไปยังลิ่วล้อทักษิณ 10 ประการ เผื่อกระตุกรอยหยักในสมองได้สักลิ่มหนึ่งครับ

สุนัขรับใช้     1. ลิ่วล้อที่ว่างงานอย่าง “สองจตุ” ทั้งจตุพรและจาตุรนต์ ควรสำเหนียกว่าตัวเองไม่ใช่โรนิน หรือซามูไรไร้สังกัดหลังหัวหน้าตาย แต่เป็นสุนัขรับใช้ไร้เจ้าของต่างหาก

     2. การออกมาร้องป่าวทุกครั้งที่มีข่าวพาดพิงทักษิณและพรรคไทยรักไทย เป็นการเสียพื้นที่ข่าวและเปลืองกระดาษหนังสือพิมพ์ไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะสิ่งที่พูดนั้นหาสาระอันใดมิได้

     3. จริงอยู่ที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิอันชอบธรรมในการพูดและวิจารณ์ ตราบใดที่ไม่พาดพิงถึงสิทธิของผู้อื่น แต่สำนึกของคุณธรรมและข้อเท็จจริงนั้น สร้างความแตกแยกของสังคมมามากแล้ว หากจาตุรนต์พูดว่า คมช.ปิดปากและแทรกแซงสื่อ แล้วตลอด 6 ปีที่แล้วในรัฐบาลทักษิณ ปากจาตุรนต์ถูกเย็บไว้หรืออย่างไร คนไทยที่ดูทีวี ฟังวิทยุ อ่านหนังสือพิมพ์ เขารู้กันทั้งเมืองว่ายุคนั้นสื่อถูกปิดกั้น แต่จาตุรนต์กลับไม่รู้ ก็แปลกดี

     4. หากนพดลจบกฎหมายมาจากสถาบันชื่อดัง ก็ควรสำนึกในบุญคุณการศึกษาและน่าจะหวนคิดถึงชั้นเรียนในชั่วโมงจริยธรรม ที่สอนถึงการเป็นนักกฎหมายที่ดีและมีคุณธรรม หากการได้รับค่าจ้างอันสูงลิ่ว ส่งผลให้จริยธรรมเสื่อมลง ก็น่าเสียใจแทนพ่อแม่ที่ส่งเสียให้ลูกเรียน

     5. ชื่อ “นพดล” อาจได้รับการพูดถึงในวงการกฎหมายและสังคม แต่อนาคตการเป็นนักกฎหมายอาจตกต่ำ ไม่แตกต่างจากสุวรรณที่เสียรังวัดไปจากการปกป้องการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก จนบุญเก่าที่ทำมาแทบไม่ช่วยอะไร หนังสือ “เสียภาษีก็รวยได้” แค่เห็นหัวหนังสือก็ละอายใจแทน

     6. จิ๋วหวานเจี๊ยบ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง แต่กลับทำตัวให้เด็กถอนหงอกตลอดเวลา เรื่องโบกี้รถไฟ เรื่องถูกลอบสังเกตการณ์ เรื่องน้อยใจ คมช. ไม่เข้าอวยพร และเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้ น่าจะเป็นเรื่องจัดฉากเพื่อส่งต่อไปยังเรื่องใหญ่อื่นๆ ที่วางแผนไว้แล้ว หรืออาจจะไม่มีอะไรก็เป็นได้ แต่ขงเบ้งผู้นี้ก็ยังสร้างความอึดอัดให้สังคมไทยต่อไปว่าอยู่เบื้องหลังระเบิดวันสิ้นปีหรือเปล่า อยากรู้ไหมว่าทำไมคนไทยสงสัย

     7. อชิรวิทย์ นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แต่ผลงานชั้นนายสิบ เห็น IRK เป็น IRA ไปเสียฉิบ นึกไม่ถึงว่าไม่มีข้อมูลแต่ก็ให้ข่าวกับเขาได้ด้วยเหมือนกัน แต่ก็เข้าใจได้ เพราะหน้าที่โฆษกก็คือ “พูด” ถ้าไม่ทำหน้าที่พูด ก็ไม่รู้จะทำหน้าที่อะไร แต่สิ่งที่รับไม่ได้ที่สุดคือ การเรียกร้องให้สมานฉันท์กันหลังเกิดเหตุระเบิดวันสิ้นปี

     8. ไม่ทราบว่าอชิรวิทย์เรียกร้องให้ใครสมานฉันท์กับใคร ญาติผู้เสียชีวิตสมานฉันท์กับคนร้าย? ผู้บาดเจ็บสมานฉันท์กับผู้วางระเบิด? ชาวต่างชาติสมานฉันท์กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย? หรือ คมช. สมานฉันท์กับ ทรท. อยากแนะนำให้ท่านโฆษกสมานฉันท์ให้ถูกที่ถูกทางด้วยครับ

     9. สิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก แต่ใจใหญ่ ทำธุรกิจไปทั่วโลก แถมประสบความสำเร็จมานักต่อนัก แต่มาพลาดอย่างจังกับดีลชินคอร์ป ก็ยังไม่เข็ด ยังติดต่อเจรจาต้าอ่วยกับตระกูลชินอยู่เนืองๆ จะด้วยเหตุผลอะไรนั้นคนไทยรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง แต่ที่แน่ๆ สิงคโปร์เสียภาพลักษณ์ของการเป็นประเทศที่เฉียบขาด มีคุณธรรม และ “เจริญ” ในสายตาของคนไทยไปแล้ว จึงขอเตือนให้คิดให้ดีหากจะทำธุรกิจกับตระกูลชินนี้อีก

     10. สื่อที่นำเรื่องราวของทักษิณมาตีแผ่ มีความชอบธรรมในการทำหน้าที่อย่างแน่นอน หากการตีแผ่นั้นมีความรอบด้านและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย คนไทยไม่ต้องเรียกหาความเป็นกลาง เพราะมันไม่มีอยู่จริงในโลกนี้ เพียงแต่ของให้ “เป็นธรรม” ก็พอ สื่อที่ดีจึงวางตัวลำบากนัก เพราะบางคนบอกว่า ที่ว่า “เป็นธรรม” นั้น เป็นธรรมกับใคร ส่วนสื่อที่เลวก็วางตัวลำบากเช่นกัน เพราะแยกไม่ออกว่าแบบไหนจึงจะเป็นสื่อที่ดีได้

ไภ??ีวี     พนักงาน itv ทีวีเสรี ออกมาเคลื่อนไหวสักระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ศาลปกครองสูงสุดยังไม่ตัดสินคดี itv ผิดสัญญากับ สปน. หรือ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ส่วนจะผิดสัญญาอะไรนั้น เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านคงจะติดตามข่าวกันมาบ้างแล้ว ไม่ต้องพูดซ้ำซากกันอีก เดี๋ยวจะเบื่ออ่านเรื่องเดิมๆ ที่หลายคนก็คงบอกว่า “เบื่อจะแย่อยู่แล้ว”

     เพียงแต่อยากจะพูดถึงพนักงาน itv สักเล็กน้อย เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ดูจะล้ำเส้นเกินไปในฐานะสื่อมวลชน เนื่องจากสื่อเองควรทำหน้าที่นำเสนอข่าวด้วยจริยธรรม ไม่ถูกครอบงำโดยอิทธิพลใดๆ แต่ที่ผ่านมา itv ถูกอำนาจเงินปิดปากมาตลอด 4-5 ปี เปรมปรีดิ์กับอำนาจและผลกำไรที่ไม่สมควรได้ อันเนื่องมาจากการผิดสัญญากับรัฐมานาน เชื่อว่าจุดนี้พนักงาน itv ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ

     แน่นอนที่สุด เมื่อถึงวันที่ทุกอย่างกำลังจะสูญสิ้นไป การออกมาร้องแรกแหกกระเชอของเหล่าพนักงานที่อ้างตัวว่าทำเพื่อเป็นปากเสียงของประชาชน ก็เผยออกมาให้เห็นถึงธาตุแท้

     10 เหตุผลง่ายๆ ของเรื่องราวทั้งหมด ที่แสดงถึงความไม่เหมาะสมของพนักงาน itv ในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือ

     1. พนักงานรู้อยู่แล้วว่าที่ผ่านมา itv ถูกครอบงำด้วยอำนาจเงินของชินคอร์ป แต่มีกลุ่มพนักงานเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ออกมาแสดงจุดยืนเพื่อต่อต้าน และ ณ วันนี้ พนักงานเหล่านั้นได้หลุดจากวงโคจรของ itv ไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ ที่เหลืออยู่ก็คือพนักงานที่อ้างตัวว่าเป็นสื่อ แต่ทำงานภายใต้เงาของชินคอร์ปและเทมาเส็ก

     2. พนักงานรู้ว่า itv ทำผิดสัญญากับ สปน. จริง แต่นิ่งเฉยกับการกระทำผิดดังกล่าว ราวกับเห็นดีด้วยที่สถานีจะได้กำไรเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องจากการเพิ่มรายการบันเทิงจาก 30% ตามสัญญา เป็น 50% ตามความต้องการ

     3. พนักงานรู้ว่าสื่อต้องมีหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน แต่กลับมีพฤติกรรมตรงกันข้าม โดยนำประชาชนเป็นข้ออ้างเพื่อให้รัฐประนีประนอมกับ itv ในการทำหน้าที่สื่อที่พิกลพิการต่อไป

     4. itv เป็นธุรกิจสถานีโทรทัศน์ที่บริหารงานโดยเอกชน ดังนั้น เมื่อธุรกิจที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ ทำผิดสัญญาและต้องถูกปรับ พนักงานเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ ควรเป็นหน้าที่ของผู้บริหารไม่ใช่หรือ ที่ต้องออกหน้ากับเรื่องนี้

     5. ที่สำคัญคือ พนักงานควรไปประท้วงผู้บริหารของ itv มากกว่า ที่บริหารงานประสาอะไร ถึงหน้าด้านไปทำผิดสัญญากับรัฐจนเป็นหนี้นับแสนล้านบาท แล้วทำท่าจะไม่จ่ายเสียด้วยซ้ำ การมาชุมนุมเรียกร้องรัฐจึงสร้างคำถามและความสับสนว่า พนักงานคิดอะไรอยู่

     6. พนักงาน itv ควรตระหนักว่าการทำงานภายใต้การบริหารงานแบบเอกชนมีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นธุรกิจที่อยู่ภายใต้สัมปทานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจป่าไม้ ธุรกิจไฟฟ้า หรือธุรกิจก่อสร้างรถไฟฟ้า ย่อมมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐมากกว่าธุรกิจอื่นๆ ซึ่งหากการบริหารงานผิดพลาด ประกอบกับนโยบายรัฐเปลี่ยน พนักงานก็ต้องยอมรับกับความเสี่ยงตรงนี้ เนื่องจากเป็นผู้เลือกที่จะเข้ามาทำหน้าที่เอง ถ้า itv จะถูกฟ้องล้มละลาย เจ้าของสัมปทานซึ่งก็คือรัฐ ก็ต้องเข้ามารับภาระฟื้นฟูอีกยาว พนักงานก็ยังสามารถทำงานภายใต้การบริหารงานของรัฐได้ (ถ้ารัฐช่วยเหลือทางใดทางหนึ่ง เช่น หานักลงทุนมารับช่วงบริหารไป เป็นต้น) เพียงแต่เปลี่ยนผู้บริหารเท่านั้น แต่ทำไมถึงไม่ต้องการล่ะ เพราะเงินน้อย? ไม่มีสีสัน? บริหารงานไม่เก่ง? หรือเพราะเหตุผลอะไรกันแน่

     7. ถ้าธุรกิจล้ม ผู้บริหารก็เจ๊ง พนักงานก็ถูกลอยแพ รัฐต้องเข้ามาอุ้มชูด้วยภาษีของประชาชน เงินภาษีของคนกว่า 60 ล้านคน ต้องมาช่วยเหลือคนเพียงหยิบมือ อย่างนี้เรียกว่าเป็นธรรมกับประชาชนอย่างนั้นหรือ ทั้งๆ ที่พนักงานทุกคนมีสิทธิ์เลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกที่ควรตั้งแต่แรก แต่กลับยอมรับกับการผิดสัญญาสัมปทานของผู้บริหารมาตลอด แล้วตอนนี้มาเรียกร้องหาอะไร

     8. พนักงาน itv ใช้วิธีการตามสมัยนิยมคือ การชุมนุมเรียกร้อง ทั้งเพื่อขอความเห็นใจและเพื่อเบี่ยงเบนให้ประชาชนเข้าใจไปว่าพนักงานจะยืนหยัดทำเพื่อประชาชน แต่คำถามคือที่ผ่านมาพนักงาน itv ทำเพื่อประชาชน เพื่อชินคอร์ป หรือเพื่อตัวเอง

     9. โบนัสและกำไรในแต่ละปีที่พนักงานทุกคนได้ไป เป็นเงินสัมปทานที่ต้องนำเข้ารัฐตามสัญญา แต่ itv กลับเปลี่ยนแปลงสัญญาเพื่อลดค่าสัมปทานจาก 1,000 ล้านบาทต่อปี เหลือเพียง 230 ล้านบาทต่อปี รายได้เพิ่มขึ้นมาทันทีเหนาะๆ ปีละ 770 ล้านบาท ขณะที่รัฐก็สูญเสียรายได้ไปปีละ 770 ล้านบาทเช่นเดียวกัน นี่หรือที่พนักงานบอกว่าทำเพื่อประชาชน

     10. เมื่อพนักงาน itv ทำหน้าที่สื่อ ซึ่งป่าวร้องมาตลอดว่าเป็นตัวแทนภาคประชาชน แต่กลับมีพฤติกรรมในทางตรงกันข้ามมาตลอด จึงควรหันไปทำอาชีพอื่นเสียดีกว่า เพื่อที่จะไม่ถูกครหาจากเพื่อนสื่อด้วยกันว่าเป็นพวกปากว่าตาขยิบ

     ผู้บริหาร itv ว่าหน้าด้านแล้ว อย่าให้พนักงาน itv ถูกกล่าวหาเช่นนั้นอีกเลย กลับตัวตอนนี้ยังทัน ให้สมกับเป็นคนที่บอกว่าทำเพื่อประชาชนเสียทีเถอะ

TV Studio      คนรุ่นใหม่สมัยนี้อยากมีชื่อเสียง อยากเป็นที่รู้จัก และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่คงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด เพราะการมีเงินทองอันเกิดจากการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ย่อมทำให้ชีวิตสุขสบาย พอๆ กับการมีชื่อเสียงที่ทำให้มีคนนับหน้าถือตา ไปจนถึงการได้รับอภิสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษจากบุคคลทั่วไป หากชื่อเสียงที่ได้มานั้นเป็นไปในด้านดี

      แต่สำหรับตัวผมเองกลับไม่ชอบการมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักแม้แต่นิดเดียว หรือกระทั่งการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วก็ไม่อยากได้ ใครอ่านถึงตรงนี้อาจนึกหมั่นไส้ครับ แต่นี่คือเรื่องจริง

      ถึงแม้ผมจะนึกชอบในบางครั้ง เวลามีคนเข้ามาขอถ่ายรูปหรือมีคนเข้ามาทัก เพราะนั่นแสดงออกถึงผลตอบรับจากงานที่เราทำ แต่นั่นก็เทียบไม่ได้กับการที่ต้องมาคอยระวังกิริยามารยาท และพฤติกรรมที่อาจดูไม่เหมาะสมกับการเป็นบุคคลสาธารณะ ไปจนถึงความเป็นส่วนตัวที่ต้องเสียไปอย่างน่าเสียดาย ใครอ่านถึงตรงนี้ก็อาจนึกหมั่นไส้ได้อีกครั้งว่า มึงดังนักหรือไง กูไม่เห็นจะรู้จักสักนิด

      อย่าเพิ่งด่วนสรุปครับ กรุณาอ่านต่อไปก่อน

      เพราะใครที่อยู่แวดวงโทรทัศน์แล้วอยากดัง มันไม่ยากครับ เพียงแค่คนผู้นั้นมีความทะเยอทะยาน ขยันพัฒนาตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ และเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของการทำงานที่เป็นใจ บวกกับมีความอดทนรอคอยโอกาส หรือที่บางคนเรียกว่าความเฮง ที่อาจจะมาถึงโดยไม่ได้ตั้งตัว ก็สามารถทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงได้ไม่ยาก

      และผมก็เคยมีความคิดอยู่ในข่ายนั้น 60% มาถึงวันนี้มีคนรู้จักเพียงแค่หยิบมือ แต่ก็ทำให้รู้สึกถึงด้านลบของการมีชื่อเสียงเสียแล้ว

10 Things      เหตุผล 10 ข้อครับ ที่ผมไม่อยากเป็นที่รู้จักของใคร

1. ไม่ชอบให้คนมอง อันนี้เป็นนิสัยเสียส่วนตัว บางคนบอกว่าเป็นโรคจิตอ่อนๆ

2. ไม่ชอบปั้นสีหน้ายิ้มเวลาที่ไม่อยากยิ้ม แต่บางครั้งต้องทำเพราะคนส่วนใหญ่มักคิดไปก่อนแล้วว่าถ้าไม่ยิ้มให้แปลว่าหยิ่ง

3. ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้ามากนัก บางคนบอกว่าเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ต่ำ แต่บางคนบอกว่าหยิ่ง จริงๆ แล้วก็คือผมเป็นคนไม่ชอบพูด ยกเว้นกับคนที่สนิทด้วย

4. ไม่ชอบสำรวมกิริยาตลอดเวลา เพราะเป็นคนเฟอะฟะและซุ่มซ่ามเอามากๆ

5. ไม่ชอบทำตัวสุภาพถ้าจำเป็นต้องวีนหรือโวยวาย เพราะไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ

6. ไม่ชอบได้สิทธิพิเศษ เพราะไม่อยากเอาเปรียบใคร

7. ไม่ชอบให้คนตีความตัวเราจากที่เห็นในโทรทัศน์ เพราะจริงๆ ตัวเราอาจไม่เป็นเช่นนั้น

8. ไม่อยากให้ใครยืมเงิน เพราะคนส่วนใหญ่มักคิดว่าทำงานโทรทัศน์แล้วมีเงินเยอะ แต่คิดผิดคิดใหม่ได้ครับ คนที่รวยมีเพียงหยิบมือ และถ้าจะให้ยืมเงิน ผมมักคิดเสียว่าให้ไปเลยโดยไม่อยากทวงคืน เพราะหน้าไม่ด้านพอที่จะทวง

9. ไม่ชอบให้คนมองว่าดังเพราะหน้าตาหรือบุคลิก เพราะผมเป็นคนมีสมอง

10. ไม่ชอบการได้เงินมาง่ายๆ เพราะมันทำให้เสียนิสัย และผมศรัทธารายได้ที่มาจากการทำงานหนัก

      และทั้งหมดนี้ก็เป็นเหตุผลที่ต่อเนื่องไปถึงสาเหตุที่ผมไม่อยากประสบความสำเร็จเร็ว เพราะส่วนตัวคิดว่าอยากลำบากก่อน อยากล้มลุกคลุกคลานก่อน อยากล้มเหลวก่อน ค่อยๆ เรียนรู้กันไป ค่อยๆ ศึกษาหาประสบการณ์ไป ดีกว่ารีบร้อนและไปล้มเอาตอนแก่

      ผมเคยเฉไปบ้างเหมือนกันกับการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพราะอยากรวย อยากมีเงิน อยากมีนู่นมีนี่ แต่เมื่อจัดกระบวนความคิดเสียใหม่ ก็พบว่าความสำเร็จมันรออยู่ปลายทางนั่นแหละ ไม่หนีไปไหนถ้าเราหมั่นเพียรและอดทนพอ ไม่นานเกินรอเราก็จะถึงจุดหมายอย่างแน่นอน

      เพราะถึงแม้จะล้มลุกคลุกคลานและลำบากยากเข็ญ กว่าจะปีนป่าย ไต่ผา และฝ่าฟันไปได้ แต่ความสำเร็จที่ได้มามักจะหอมหวานกว่าการขึ้นยอดเขาด้วย ฮ. เสมอ


Blog Visits

  • 158,846 hits